แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำคม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำคม แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

19 ประการในการเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจ

19 ประการในการเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจ

      การที่คน ๆ หนึ่งจะไปร่วมหรือเข้าสังคมกับใครนั้น ถ้าสามารถทำตัวเองให้เป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายจริง ๆ มีคนมากมายถึงแม้จะมีความชาญฉลาดคล่องแคล่ว หรือมีความรู้ความสามารถก็ตาม แต่เมื่อไปอยู่ร่วมกับคนอื่นเพียงไม่นาน ก็เป็นที่น่ารังเกียจต่อคนเหล่านั้น และสิ่งที่น่าเศร้าใจมากกว่า 
นี้ ก็คือ มีพี่น้องคริสเตียนที่ร้อนรนรับใช้พระเจ้า แต่กลับเป็นที่น่ารังเกียจในทุกที่ที่เขาเข้าร่วม คือเมื่อคนอื่นเห็นเขาก็รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจอยากหลีกห่างไกลจากพวกเขา และถ้าหากการที่คนอื่นรังเกียจเขาเป็นเพราะเหตุที่เขาสัตย์ซื่อกับพระเจ้า ไม่ประณีประนอมกับความชั่ว ตำหนิความชั่ว นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่อง เพราะถึงแม้เขาจะถูกคนอื่นรังเกียจ แต่ก็ได้การต้อนรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยที่ถูกคนรังเกียจเพราะเหตุอื่น ไม่ใช่เพราเหตุเหมือนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา แต่เพราะเหตุที่เขาไม่ เหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา การที่คนอื่นรังเกียจเขานั้น ก็เพราะเขาไม่ระมัดระวังในบางเรื่อง ละเลยในบางเรื่อง หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อที่จะช่วยคนเหล่านี้ 

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอยู่ที่บุญที่ทำร่วมกันมา

               คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอยู่ที่บุญที่ทำร่วมกันมา



             มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก  คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน 
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย  ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน 
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า  คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน 
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ  ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด 
เมื่อได้ทราบข่าว  เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก 
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน  ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ 
  
     เวลาผ่านไป  ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น 
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น  มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา 
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน  แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู 
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า  เป็นพระ  จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า 
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต 
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย  อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย 
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ 
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย 
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา  ก็เข้ามา! 
  
       เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า 
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง 
สีหน้าซีดเซียว  ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ 
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา  พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น 
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ 
ชายคนนั้น  นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด 
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี  จึงกล่าวว่า  โทรมมากเลยนะ 
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ  ลองมองที่กระจกสิ 
ชายคนนั้นไม่สนใจ  แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน 
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น  ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป 
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล.... ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา 
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น  มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น 
เขาพบว่า  มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด 
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา 
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ  แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว 
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา  เขามองเห็นศพนั้น 
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น  แล้วเดินจากไป 
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา 
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่  จึงเปิดออกดู  เมื่อพบว่า  เป็นศพ 
ด้วยใจสงสาร  จึงจะฝังให้เรียบร้อย  แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด 
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา 
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น  พอได้หลุมใหญ่พอสมควร 
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป 
  
    จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น 
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ 
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป  เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก 
  
     ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า  ทีนี้เข้าใจรึยัง  ศพนั้นคือคู่รักของโยม 
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ  ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ 
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ 
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน 
  
เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก 
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า  โยมรอดแล้ว  เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว 
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด .....
  
 คนเราเจอกัน  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , 
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย


เมื่อมีวาสนา  ไม่ต้องเรียกร้อง  ถึงเวลาก็มาเจอกัน 
เมื่อสิ้นวาสนา  ก็ต้องจากกัน  รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้    คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง 
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน  ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า  ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า  เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่



*****************************************************

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

จงพูดให้น้​อยกว่าที่ฟัง...

เมื่อพูดมาก สมาธิจะลดน้อยลง
เมื่อสมาธิลดน้อยลง โอกาสในการที่จะขาดสติสัมปชัญญะจะมีมากขึ้น
 

เมื่อขาดสติ ย่อมจะควบคุมจิตใจได้ยาก
ทำให้มีโอกาสที่จะกระทำผิดพลาด และนำมาซึ่งความทุกข์เพิ่มขึ้น

การฟังทำให้มีสติ มีสมาธิ
และสามารถคิดพิจารณาในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
สามารถควบคุมสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจที่จะทำให้เกิดความลุ่มหลง
ความโกรธ และอารมณ์ต่างๆ ได้ดีกว่า

ขอให้ฟังอย่างตั้งใจ พินิจพิเคราะห์อย่างผู้มีสติ
จะทำให้ควบคุมชีวิตให้มีความสุขได้ดีกว่าเดิม

ดังนั้นเมื่อพูดน้อยลงและฟังมากขึ้น จะทำให้มีสติ ย่อมคิดได้
ควบคุมตนเองได้และเมื่อควบคุมตนเองได้
ชีวิตย่อมมีความสุข ดังเช่นพุทธภาษิตที่ว่า "ผู้มีสติ ย่อมได้รับความสุข"
ใครทำได้บ้างหรือเคยทำไหมที่ฟังแล้วไม่แย้งหรือตบตีกับตัวเองในใจ.....

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คุณจะเลือกทางไหน

คุณจะเลือกทางไหน ?





มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?

ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ

เคยเห็นคนตาบอดไหม ??


คนตาบอด…ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่
คุณอาจเจอพวกเขาได้ …ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น ตลาดนัด
พวกเขาไปที่นั่น…
เพราะหวังว่า… คงจะมี คนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง
คนสองคน…ที่จับมือกัน
ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด
เพราะต่างคน… ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่
นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว…
ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆ เครื่องนึง
กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน…ที่ขาดไม่ได้…ก็คือขันอลูมิเนียม
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า

อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า

จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามบ่อยครั้งเรามักจะดูถูกบางคนที่พูดอะไรโง่ๆ หรือทำอะไรเปิ่นๆ และเรามักจะมีปฏิกิริยาฉับพลันต่อผู้อื่นที่ด้อยกว่าเราในฐานะ ตำแหน่ง การศึกษา การแต่ตัว การกระทำ หรือความสามารถ บางทีอาจถึงขั้นแสดงออกด้วยความเหยียดหยาม
โดยธรรมชาติและวัฒนธรรมคนเราไม่ว่าเชื้อชาติภาษใดมีทั้งภูมิใจและดูถูกคนอื่นที่กระทำบางสิ่งผิดจากวัฒนธรรมที่เรายึดถือปฏิบัติมา อย่างเช่นคนจีน จะเรียกคนต่างชาติว่า “ฮวนนั้ง” ซึ่งแปลว่า คนป่าเถื่อน คนยิวเรียกคนที่ไม่ใช่ยิวว่า “ชาวต่างชาติ” พวกยุโรป อเมริกาเรียกคนที่ไม่มีวัฒนธรรมแบบพวกเขาว่า “พวกอนารยชน” บางทีคนประเทศเดียวกันยังดูถูกกันเองผ่านท่าทีและคำพูด เช่น คนไทยที่เป็นคนเมืองมักจะเรียกคนต่างจังหวัดว่า “พวกบ้านนอก”
บางทีคุณอาจมองว่าคนอื่นแย่กว่าคุณ หรือไม่มีค่าเลยในสายตาคุณ หากคุณกำลังคิดเช่นนั้นคุณกำลังทำความผิดอย่างมาก และเป็นความคิดของคนที่ไม่ได้มีความเชื่อต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงสร้างผู้ใดให้ไร้ค่าเลยไม่ว่าเขาจะมีชนชั้นวรรณะอะไรก็ตาม คุณค่าของตัวเขามิได้ด้อยกว่าผู้ใดในพวกท่านเลย แต่พระองค์ทรงกำชับให้เรารักและให้เกียรติคนเหล่านั้นเหมือนที่เรารักและให้เกียรติตัวของเราเอง
จงตระหนักเสมอว่าไม่มีใครจะสมบูรณ์หรือดีเลิศกว่าบุคคลอื่นๆในทุกด้าน คนไร้การศึกษาข้างบ้านคุณอาจจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งด้านการศึกษาก็ว่าได้
ดังนั้นแทนที่จะหลงผิดว่าคุณดีเลิศ และคนอื่นแย่ คุณควรหันกลับมามองคนอื่นด้วยความเห็นใจจะดีกว่า เพราะคุณเองก็มีจุดบกพร่องที่ผู้อื่นสามารถตำหนิได้เช่นกัน

โดย มัรยัมกุบรอ