วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

19 ประการในการเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจ

19 ประการในการเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจ

      การที่คน ๆ หนึ่งจะไปร่วมหรือเข้าสังคมกับใครนั้น ถ้าสามารถทำตัวเองให้เป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายจริง ๆ มีคนมากมายถึงแม้จะมีความชาญฉลาดคล่องแคล่ว หรือมีความรู้ความสามารถก็ตาม แต่เมื่อไปอยู่ร่วมกับคนอื่นเพียงไม่นาน ก็เป็นที่น่ารังเกียจต่อคนเหล่านั้น และสิ่งที่น่าเศร้าใจมากกว่า 
นี้ ก็คือ มีพี่น้องคริสเตียนที่ร้อนรนรับใช้พระเจ้า แต่กลับเป็นที่น่ารังเกียจในทุกที่ที่เขาเข้าร่วม คือเมื่อคนอื่นเห็นเขาก็รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจอยากหลีกห่างไกลจากพวกเขา และถ้าหากการที่คนอื่นรังเกียจเขาเป็นเพราะเหตุที่เขาสัตย์ซื่อกับพระเจ้า ไม่ประณีประนอมกับความชั่ว ตำหนิความชั่ว นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่อง เพราะถึงแม้เขาจะถูกคนอื่นรังเกียจ แต่ก็ได้การต้อนรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยที่ถูกคนรังเกียจเพราะเหตุอื่น ไม่ใช่เพราเหตุเหมือนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา แต่เพราะเหตุที่เขาไม่ เหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา การที่คนอื่นรังเกียจเขานั้น ก็เพราะเขาไม่ระมัดระวังในบางเรื่อง ละเลยในบางเรื่อง หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อที่จะช่วยคนเหล่านี้ 

ผมอยากจะเสนอ 20 ประการ ในการเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจ 
1. อย่าคิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว โดยไม่คิดถึงคนอื่นแม้แต่น้อย เพราะว่าคนที่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นคนที่น่ารังเกียจสำหรับคนทั่วไป การที่คนเรามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็ตาม การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการช่วยเหลือกันนั้นเป็นสิ่งที่สมควรทำ และเป็นการสร้างมิตรภาพและความรู้สึกที่ดีต่อกันอีกด้วย แต่ถ้าหากเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ก็เพียงพอที่จะนำมาซึ่งการรังเกียจ และความรู้สึกที่ไม่ดีจากคนอื่นได้แล้ว นอกจากนี้คนที่มีใจเห็นแก่ตัวนั้นเขาจะไม่เพียงไม่คิดถึงคนอื่นเท่านั้น เขายังจะแย่งเอาผลประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของเขาอีกด้วย และในสภาพการณ์เช่นนี้ เขาก็จะทำในสิ่งที่เป็นภัยแก่ตนเองและแก่คนอื่น เช่นนี้ไม่ 
เพียงแต่คนที่ได้รับผลกระทบจากเขาจะรังเกียจเท่านั้น และถึงแม้คนที่ไม่ได้ถูกผลกระทบจากการกระทำของเขาก็จะรังเกียจเขาด้วย การที่คนหนึ่งเป็นคนเห็นแก่ตัวนั้นก็เป็นเพราะเขารักตัวเองมากเกินไป อยากให้แต่ตัวเองสะดวกสะบาย ผลที่สุด ก็นำมาซึ่งการรังเกียจจากคนอื่น และต้องทุกข์ตรมระทมใจเพราะการกระทำของตัวเอง ช่างน่าสงสารจริง ๆ 
2. อย่าโลภทรัพย์สมบัติของคนอื่น เพราะการที่คนหนึ่งโลภทรัพย์สมบัติของคนอื่นนั้นก็จะทำให้เขาเกิดความชั่วร้ายต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นในสมอง และก็จะกระทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังออกมา แน่นอนสิ่งนี้ย่อมนำมาซึ่งการรังเกียจจากคนอื่น การโขมย หลอกลวงหรือการปล้นชิง ความบาปเหล่านี้ ต่างก็มีที่มาจากใจที่มีใจโลภทรัพย์สมบัติของคนอื่นทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็รู้รู้กันอยู่แล้ว คนที่มีจิตใจโลภทรัพย์สมบัติของคนอื่นนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล้าทำบาปใหญ่เหล่านี้ และเขาก็รู้ดีว่า คนอื่นไม่มีทางมอบทรัพย์สมบัติให้แก่เขาอย่าง100 %แน่นอน ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีออกท่าทางหรือพูดเป็นเลศนัยเพื่อให้คนอื่นมอบของให้ หรือไม่ก็ขอยืมและไม่ยอมคืน หรือว่า ใช้วิธีลับ ๆ ในการนำทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของคนของผู้อื่นมาเป็นของตน การที่คนคนหนึ่งมีใจเช่นนี้ก็ยากที่จะไม่โดนคนอื่นรังเกียจ การที่จะหลุดพ้นจากความพ่ายแพ้นี้ ขั้นแรกเลยก็คืออย่าโลภทรัพย์สมบัติของคนอื่น การไม่มีใจโลภก็จะทำให้การประพฤติและคำพูดที่โลภในทรัพย์ของคนอื่นไม่มีทางออกมาได้เลย 
3. อย่าอวดความสามารถหรือจุดเด่นของตนเอง การที่คนหนึ่งมีจุดเด่นนั้นก็เป็นที่นิยมและยกย่องของคนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเขาอวดตัว การยกย่องของคนอื่นก็จะกลายเป็นการดูถูกทันที ใจที่นิยมเขาก็จะกลายเป็นความน่ารังเกียจทันทีเหมือนกัน บางทีคุณอาจจะไม่รู้สึกตัวก็ได้ว่าในขณะที่คุณอวดตัวนั้นคนอื่นมีความรู้สึกอย่างไรต่อคุณ แต่ขอให้คุณลองคิดดูซิว่า ถ้ามีคนหนึ่งมาอวดจุดเด่นของเขาต่อหน้าคุณ คุณจะรังเกียจเขาไหม เช่นนี้คุณก็จะรู้ว่าการที่คุณอวดจุดเด่นของคุณต่อหน้าคนอื่นนั้น คนอื่นจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อคุณ คนที่มีจุดเด่น และชอบอวดจุดเด่นของตนบ่อย ๆ นั้น คุณค่าของเขาก็มักจะลดลงไปเรื่อย ๆ และถ้าจะคิดดูแล้วความสามารถที่คุณมีมันวิเศษอะไร คนที่มีปัญญาคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ คุณยังจำได้หรือเปล่าว่า"จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง" (สุภาษิต 27:2) 
4. อย่าใส่หน้ากากกับคน คนทั่วไปต่างก็คิดว่าการใส่หน้ากากกับคนจะทำให้คนชอบเขา ดังนั้นเขาจึงจัดเตรียมหน้ากากหลายใบไว้สำหรับตนเอง เจอคนชนิดใดก็ใส่หน้ากากชนิดนั้น พวกเขาจะเอาใจและพูดในสิ่งที่ถูกใจคนอยู่เสมอ และ พวกเขาจะไม่มีทางมีใจจริงต่อคนใดเลย การที่พวกเขาอยากจะเอาใจคนนั้นทำให้ 
พวกเขาจะไม่ขัดใจกับใคร และก็ไม่ต่อสู้กับใคร ถึงแม้ในใจของเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ปากของเขากลับบอกว่าเห็นด้วย มีบางเรื่องที่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะทำแต่กลับบอกหรือสัญญากับคนว่าเขาจะทำ ถึงแม้ในใจของเขาจะรักหรือเกลียดก็ตาม แต่เมื่อแสดงออกมาก็พออกพอใจคนทั้งสิ้น และพวกเขาก็มีความคิดว่าการทำเช่นนี้ทำให้ไม่มีทางทำให้คนอื่นไม่พอใจ ไม่มีทางที่คนอื่นจะรังเกียจ และไม่มีทางมีอันตราย แต่เขากลับหารู้ไม่ว่า การเป็นคนชนิดนี้จะมีผลทำให้เขากลายเป็นคน ที่น่ารังเกียจต่อทุกคนและทุกแห่ง แต่คนเหล่านั้นที่ซื่อสัตย์พูดในสิ่งปากตรงกับใจ ถึงแม้ตอนแรกอาจจะโดยคนต่อต้าน ดูถูก ด่า หัวเราะเยาะ นินทา แต่ในที่สุดก็จะได้รับการยกย่องจากคนทุกคน แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องเขา และไม่ว่าใครต่างก็ชอบที่จะอยู่ร่วมและทำงานร่วมกับคนที่สัตย์ซื่อ เพราะว่าการได้คบคนประเภทนี้นั้นปลอดภัยสำหรับเขา และไม่มีทางถูกลอบกัด และไม่ต้องระแวงว่าเขาจะทำร้ายเราวันไหน เพราะเขาจะปลอดภัยสำหรับทุกคน 
5. อย่าขอสิ่งของจากคน การที่คนคนหนึ่งขอสิ่งของจากคนนั้นไม่เพียงแต่ทำลายบุคลิค และคุณค่าของตนเองแล้ว ยังสามารถกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจได้ อีกด้วย เพราะว่าในขณะที่คุณทำเช่นนี้ ถ้าหากคนนั้นเขายินดี ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเขาไม่ค่อยเต็มใจ ก็จะมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ให้คุณก็กลัวว่าคุณจะเสียหน้า และถ้าหากเขาให้คุณเขาก็ไม่สบายใจ และในใจของเขาก็จะเกิดความรังเกียจคุณ และตั้งแต่นั้นเขาก็จะดูถูกคุณ ไม่อยากเข้าใกล้คุณและรังเกียจคุณขอให้คุณจำไว้ว่า ถึงแม้คนนั้นจะเป็นคนที่มักให้ของคุณบ่อย ๆ ก็ตาม คุณก็อย่าคิดว่าถ้าขอเขาก็คงไม่เป็นไรอย่างเด็ดขาด ขอให้คุณรู้ว่า การที่เขายินดีมอบของให้คุณนั้นเป็นใจสมัครและเต็มใจของเขาเอง แต่ถ้าคุณขอของเขาสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาอยากให้คุณก็ได้ หรือเวลานั้นเขาอาจจะไม่มีกำลังพอที่จะให้คุณก็ได้ การที่คนคนหนึ่งชอบขอของของคนอื่นนั้นเขามักจะเป็นคนที่น่ารังเกียจไม่ว่าที่ใดหรือเวลาใด 
6. จะต้องพยายามหลบหลีกการยืมสิ่งของ การยืมสิ่งของคนโดยง่ายก็เป็นการง่ายที่จะได้รับความรังเกียจเช่นกัน เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือคนอื่นกลัวว่าเมื่อพบหน้าเขาแล้วจะต้องถูกยืมของ และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือคนที่ชอบยืมของของคนนั้น เพราะเหตุที่เคยชินกับการติดหนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกว่านั่นคือสิ่งผิด ดังนั้นจึงง่ายต่อการยืมแล้วไม่คืนเจ้าของ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะนำไปสู่การหมดความน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน และบางครั้งก็สัญญาว่าจะคืนของในวันที่กำหนด แต่พอถึงกำหนดกลับลืม หรือไม่มีหนทางใช้คืน ทำให้ไม่สามารถคืนได้ ในสภาพการณ์เช่นนี้ ความน่าเชื่อถือก็จะมลายหายไปสิ้น คนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและชอบเป็นหนี้คน จะไม่ให้คนรังเกียจ ได้อย่างไร 
7. อย่าพูดมากจนพูดไม่จบสักที มีบางคนคุยเก่ง และชอบพูด ถ้าให้เขาเริ่มขยับปากก็จะพูดจากเหนือไปใต้ ตะวันออกไปตะวันตก 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง ... จนกระทั่งครึ่งวัน ตลอดคืนเขาก็ยังมีเรื่องที่จะคุยได้อีก คนชนิดนี้ อาจสามารถเป็นคนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด และก็อาจสามารถกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดก็ได้ ถ้าหากพวกเขาเข้าใจจิตใจของคนอื่นแล้วละก้อ เขาก็จะรู้ว่าตอนที่คนอื่นอยากฟังเขาก็จะพูด ถ้าเวลาไหนคนอื่นไม่อยากฟังเขาจะปิดปากเงียบ เช่นนี้เขาก็จะได้รับความรู้สึกที่ดีจากคนอื่น และคนอื่นก็เพราะเหตุที่เขารู้จักพูดจึงชอบเข้าใกล้เขา แต่ถ้าหากพวกเขาพอเริ่มเปิดปากก็พูดจนปิดปากไม่ได้ และก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะสนใจฟังหรือไม่สนใจฟังและก็ไม่สนใจว่าคนอื่นว่างไม่ว่าง และก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ คนอื่นจะชอบ หรือไม่ชอบ จนกระทั่งคนที่ฟังเริ่มกระสับกระส่าย หันซ้ายหันขวา เขาก็ยังไม่สนใจและพูดต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเป็น เช่นนี้ ก็ทำให้คนไม่อยากที่จะพูดคุยกับเขา หรือกระทั่งไม่อยากจะเข้าใกล้เขา เมื่อเห็นเขาเดินมาแต่ไกล และถึงแม้คำพูดของคุณจะทำให้คนชอบและทำให้คนอยากฟังก็ตาม คุณก็ควรจะพูดและหยุดให้คนอื่นพูดบ้าง เพื่อจะให้โอกาสเขาออกความเห็น และอาจจะซักถามข้อข้องใจ และมีโอกาสของตัว การที่คนคนหนึ่งพูดจนน้ำไหลไฟดับไม่ชอบหยุด จงให้คนไม่รังเกียจเขาเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ 
8. อย่าซักถามเรื่องราวที่ตนเองไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีสิทธิ์ มีบางคนที่ทำงานเก่ง และชอบทำงาน เพราะฉะนั้นไปที่ไหนก็มักจะถามเรื่องของคนอื่น นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นรังเกียจเช่นกัน ถ้าอยู่ในขอบเขตรับผิดชอบ ของตนเองแล้ว ยิ่งขยันยิ่งดี ยิ่งรับผิดชอบก็ยิ่งดี แต่ถ้าอยู่ในขอบเขตของคนอื่น แล้วคุณไปข้ามเขตนั้น และจะแย่งหน้าที่รับผิดชอบแทนคนอื่นหรือยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น ก็ยากที่จะรอดพ้นจากโดนคนอื่นรังเกียจได้แน่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นครูคนหนึ่งที่โรงเรียน แต่กลับไปถามเกี่ยวกับงานของครูใหญ่ และเสนอจะทำงานแทนครูใหญ่ หรือคุณเป็นคุณหมอ คนหนึ่งในโรงพยาบาล แต่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือว่าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้อำนวยการ แต่ไปยุ่งกับแผนกต่าง ๆ ในโรงพยาบาล นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรังเกียจอย่างแน่นอน เรื่องที่ตัวเองสมควรทำ แต่ไม่ยอมไปทำ นับว่าเป็นความไม่ซื่อสัตย์ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแต่กลับชอบยุ่งชอบถาม ก็จะนำมาซึ่งความน่ารังเกียจ มีบางคนไม่ว่าไปที่บ้านของใคร เขา ก็มักจะมีทีท่าแสดงความเป็นเจ้าของ และตำหนิคนใช้ในบ้านนั้น ๆ และก็สอบถาม เรื่องราวในบ้าน ดังนั้นจึงนำมาซึ่งความรังเกียจจากคนใช้ และอาจจะโดนคนใช้ทำร้ายก็ได้ ไม่เพียงเท่านั้นผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน ก็ไม่มีทางชอบเขาอย่างแน่นอน คุณลองคิดดูซิว่าถ้ามีคนมาแย่งหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านของคุณ คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในบ้านในสังคม อยู่ร่วมกับเพื่อนหรือคนอื่นขอให้คุณจำไว้ว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ ถ้าคนอื่นไม่ได้มาขอความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือ ก็อย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเป็นอันขาด 
9. ต้องรักษากฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าใครถ้าไปที่ไหน ก็ชอบทำตามใจชอบของตนเอง ไม่ยอมรักษากฏเกณฑ์ เป็นสิ่งที่ทำให้คนรังเกียจ ไปร่วมในที่ประชุมก็ไม่รักษาระเบียบการประชุม ไปที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมรักษากฎของโรงพยาบาล อยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ยอมรักษากฎโรงเรียน ไปที่บ้านของใครก็ไม่รักษาระเบียบบ้านนั้นนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่น ๆ ลำบากใจ ถ้าหากเขาจะจัดการกับคุณ ก็เพราะกลัวมีเรื่องจึงยากที่จะพูด ถ้าปล่อยคุณ ไม่เพียงแต่คนอื่นจะเดือดร้อน ทั้งยังเป็นเปิดประตูแห่งความวุ่นวายถ้ามีคนอื่นทำตาม และในที่สุดก็ยากที่จะเป็นระเบียบได้ แต่ถ้าหากเขาจัดการกับคุณ จะทำให้คุณไม่เพียงแต่ไม่สำนึกตัวเท่านั้น คุณยังจะตำหนิ คนอื่นว่าไม่ให้หน้าคุณอีก แล้วก็จะเกิดเรื่องราวตามมาอย่างไม่จบสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็จะเป็นที่น่ารังเกียจต่อทุกคน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนที่น่ารังเกียจแล้ว ก็ควรรักษากฎเกณฑ์ของสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไปอยู่อาศัย เมื่อเวลาไปถึงที่ใดก็ตาม ก็ควรจะสนใจในกฎข้อบังคับของที่บังคับของที่นั้น ๆ และรักษาตามที่เขากำหนดและเรา ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาจัดการกับเรา หรือทำให้คนอื่นอึดอัดใจได้อีกด้วย ถ้าหาก มีที่ไหนที่เราไม่สามารถรักษากฏเกณฑ์ได้ ก็ไม่ควรไป แต่ถ้าหากไปแล้ว ก็ควรรักษากฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัด 
10. อย่าเป็นคนที่ชอบขัดแย้งกับคนทุกเรื่อง มีบางคนไม่ว่าเรื่องใดก็จะขัดแย้งกับคนอื่นทุกเรื่อง นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ เมื่อเขาอยู่ร่วมกับคนมักจะมีความคิดขัดแย้งกับคนอื่นอยู่เสมอ คนอื่นบอกว่าเหนือเขาก็จะไปใต้ คนอื่นเสนอกินของหวานเขาก็จะกินเค็ม ถ้าหากเขาขัดแย้งกับคนเพราะความถูกต้องในความจริงในพระคัมภีร์ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่พวกเขากลับไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขาเพื่อจะเอาชนะและเอาแต่ใจตนเอง นอกจากนี้อารมณ์ของพวกเขาก็ยังผิดแผกและขัดกับคนอื่นอยู่เสมอ พอคนอื่นเขาหัวเราะกัน เขาก็จะนั่งเงียบ ๆไม่พูดไม่หัวเราะ และพวกเขาจะคิดอยู่เสมอว่าคนอื่นไม่ยอมทำตามใจของเขาไม่เป็นเหมือนที่เขาคิด พวกเขาจะมีความคิดที่ว่า คำพูดและเสียงหัวเราะของคนอื่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ พวกเขาจะดูว่าคนอื่นไม่มีความดีอะไรเลย และพวกเขาจะรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดของชีวิต ถ้าใครไม่เหมือนเขาก็แสดงว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม พวกเขาจะไม่กลัวคนโจมตี หรือต่อต้าน พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นวิเศษเลิศเลอ พวกเขาไม่ใช่คนเลว แต่ความจริงแล้วพวกเขาเป็นคนที่คนอื่นรังเกียจ และการดำเนินชิวิตของพวกเขา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อคนอื่น มีแต่นำความยุ่งยากและปัญหามาสู่คนอื่น และทำให้คนอื่นได้รับความทุกข์ แต่ของเขาเองก็ยังรับความทุกข์มากกว่า ถ้าหากท่านผู้อ่านคนใดเป็นเช่นนี้ ก็ควรจะสำนึกและรีบตั้งต้นใหม่ 
11. ต้องรักษาดูแลทรัพย์สิ่งของของคนอื่น พวกเราไม่เพียงแต่อย่าโลภทรัพย์ สมบัติของคนอื่น แต่พวกเราก็ควรรักษาดูแลทรัพย์สิ่งของของคนอื่นด้วย เมื่อไปอยู่ ที่ใดไม่ว่าเป็นบ้านฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือเครื่องใช้ หนังสือ เสื้อผ้า ฯลฯ ต้องระมัดระวัง อย่าทำสกปรก อย่าทำลายหรือทำเสีย และอย่าตั้งใจทำเสียเป็นอันขาด และก็อย่าทำของของคนอื่นอย่างสะเพร่า ๆ มีบางคนเป็นคนไม่ค่อยดูแลของแม้ของของตนเอง แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะไม่ดูแลรักษาของของคนอื่นเช่นกัน และเพราะเหตุนี้นี่เองจึงทำให้เขากลายเป็นคนที่น่ารังเกียจมีบางคนแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร แต่เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดูแลทรัพย์สิ่งของของคนอื่น จึงกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ ขอให้เราจำไว้ว่า เมื่อขณะที่อยู่บ้านของคนอื่นนั้น เมื่อจะใช้สิ่งของต่าง ๆ ในบ้านของเขาไม่ว่าจะเป็น แก๊ส ไฟฟ้า น้ำ ฯลฯ จะต้องประหยัดยิ่งกว่าในบ้านของเรา เพราะมีบางคนมักจะ ละเลยในจุดนี้ และทำให้คนอื่นต้องสูญเสียทรัพย์สิ่งของไป นี่ก็นำมาซึ่งความน่ารัง เกียจและความรู้สึกที่ไม่ดีจากคนอื่นต่อตนเองเช่นกัน 
12. อย่ายืมสิ่งของของคนโดยง่าย คนที่เคยชินต่อการยืมสิ่งของของคนก็เป็นคนที่คนอื่นรังเกียจเช่นกัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือทำให้คนอื่นอยากจะใช้ขึ้นมาแล้วไม่มีใช้เพราะอยู่ในมือคนยืม ดังนั้นจึงรู้สึกไม่สบายใจ เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ชอบหยิบยืมสิ่งของของคนอื่นมักจะทำให้สิ่งของของเขาสกปรก เสียหายหรือสูญหายได้ จึงทำให้เจ้าของรู้สึกเป็นทุกข์ ขอให้คุณลองคิดดูซิว่า ถ้าหากมีคนมายืมสิ่งของของคุณไป และต่อมาคุณเผอิญต้องใช้แต่ไม่มีใช้ใจคุณจะเดือดร้อนไหม หรือว่าถ้าหากเขายืมสิ่งของของของคุณไป ตอนที่ยืมก็ยังใหม่ ๆ และคุณภาพดี แต่พอเขาเอามาส่งคืนคุณกลายเป็นของเก่า ไปแล้ว คุณยังจะยิ้มออกหรือ และยังมีบางครั้งที่คนมายืมของของคุณนั้นได้มาบอกคุณว่า ของที่เขายืมมาจากคุณนั้นเขาทำหายไปแล้ว เวลานั้นในใจของคุณจะรู้สึกอย่างไร ขอให้คุณจำไว้ว่า ถ้าหากไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว อย่ายืมสิ่งของของคนเป็นอันขาด และถ้าหากคุณได้ยืมแล้ว เมื่อเสร็จแล้วก็จงรีบคืนเจ้าของโดยเร็ว และขณะที่คุณใช้สิ่งของของคนอื่นนั้น ควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าให้เสียหาย อย่าให้สกปรก จำไว้ว่าใช้ของของคนอื่นต้องระมัดระวังกว่าใช้ของตนเองถึง10เท่าถ้าหากเกิดความเสียหายหรือสูญหาย จะต้องหาทางซื้อของใหม่มาใช้เขา ถ้าหากคุณไม่มีกำลังพอที่จะซื้อของใหม่ใช้เขาก็อย่ายืมเป็นอันขาด(หมายความว่าสิ่งของใดที่คุณคิดว่าหรือรู้ว่าไม่มีกำลังจะชดใช้ ถ้าเกิดกรณีเสียหายหรือสูญหาย) เพราะว่าจะทำให้คุณพบกับความยุ่งยาก จะใช้คืนคนหรือก็ไม่มีกำลังเพียงพอจะไม่ใช้หรือก็ทำหน้าตาไม่ถูกเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ของคนอื่นเสียหายเท่านั้น ยังจะเป็นที่น่ารังเกียจของคนอีกด้วย 
13. อย่าเฟ้นคำตอบกับคนที่เขาไม่อยากบอกคุณ หรือถามปัญหาที่เขาไม่อยาก ตอบคุณ มีบางคนที่เป็นคนขวานผ่าซาก เขาไม่กลัวที่จะบอกเรื่องราวของเขาทั้งหมดต่อคนอื่น แต่คนส่วนมากก็มักจะมีบางเรื่องที่เขาอยากจะปิดไว้ ไม่อยากบอกให้ใครรู้ มีบางคนไม่อยากให้คนรู้ว่าเขามีทรัพย์สมบัติเท่าไหร่ มีบางคนไม่อยาก บอกเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของพวกเขา มีบางคนก็ไม่อยากบอกคนอื่น เกี่ยวกับเงินเดือนของตน มีบางคนก็กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเขารวยเพราะกลัวมีอันตราย มีบางคนก็กลัวคนอื่นรู้ว่าจน เพราะกลัวโดนคนดูถูก มีบางคนก็มีต้นตระกูลที่ต่ำต้อยจึงไม่อยากให้คนถามถึงที่มาของเขา มีบางคนเพราะว่าทางบ้านกำลังมีเรื่องมีราว ดังนั้นจึงไม่บอกให้คนอื่นรู้ถึงปัญหา ของครอบครัวของเขา มีบางคนก็มีเรื่องที่ขมขื่นอยู่ในใจ ถ้าเกิดมีคนถามถึงก็จะทำ ให้เขาอึดอัดและเป็นทุกข์ คนข้างต้นเหล่านี้เป็นคนที่อยากเก็บเรื่องราวเหล่านี้เป็นความลับ ดังนั้นถ้าคุณขวานผ่าซาก และไม่มีมารยาท ไปถามคำถามเหล่านี้ต่อพวกเขา ก็ยากที่จะทำให้เขาไม่สบายใจ และต้องพูดโกหก และบางทีก็อาจจะนำมาซึ่งการไม่พอใจและเข้าใจผิดของพวกเขาต่อคุณก็ได้ เพราะเขาจะคิดว่าคุณตั้งใจจะมาแฉและ ยุ่งเกี่ยวกับจุดอ่อนของเขา ทำให้พวกเขาได้รับความอาย และบางทีผลที่คุณได้รับอาจจะไม่ค่อยน่าชื่นใจเท่าไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้น ทางที่ดีอย่าถามซอกแซกถึงปัญหาของคนอื่น นอกเสียจากจะเป็นเพื่อนซี้ปึ๊กกับเขาจริง ๆ และถึงแม้จะเป็นเพื่อนซี้กันก็ตามถ้าเขาไม่อยากบอก ก็อย่าเค้นเอาคำตอบจากเขาเลย เพราะว่านั่นจะทำให้คุณ เป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด 
14. อย่าบังคับคนอื่นให้ทำตามความคิดของตนเอง เมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าเรื่องใดอย่าเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ และบังคับให้คนอื่นทำตามความคิดของตัว แน่นอน ถ้าเป็นเรื่องที่คุณรับผิดชอบและมีสิทธิ์คุณก็ควรจะใช้สิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ แต่เรื่องที่คุณไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ ก็อย่าบังคับให้คนอื่นทำตามความคิดของคุณ คนคนหนึ่งถ้าเป็นคนที่ชอบบังคับคนอื่นให้ทำตามความคิดของตนเองแล้ว ก็ไม่พ้นที่จะโดนคนอื่นรังเกียจ และไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขา ในครอบครัวไม่ว่าผู้ที่เป็นสามีหรือภรรยา ถ้าชอบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามทำตามความคิดของตนเอง ครอบครัวนี้ก็ยากที่จะสงบ และมีความสุขได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรแล้วละก้อ ถึงแม้จะเป็นพ่อ แม่ก็อย่าบังคับลูกของตนให้ทำตามใจชอบของตนเอง เพราะว่าทุกคนต่างก็มีอิสระเป็นของตัวเอง ขอเพียงแต่เขาไม่ก้าวล้ำเส้นแห่งความอิสระเท่านั้นก็พอแล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปยุ่ง ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบบังคับให้คนอื่นทำตามใจทุกเรื่อง นั่นก็เท่ากับว่าคุณกำลังแทรกแซงในความอิสระของผู้อื่น และ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้คนอื่นรังเกียจคุณได้อย่างไร ขนาดในบ้านระหว่างพ่อแม่กับลูกก็ไม่ควรที่จะบังคับให้ทำตามความคิดของเราเองแล้ว ยิ่งกว่านั้นคนที่เป็นเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมงานเรายิ่งจะควรระวังนิสัยที่ไม่ดีของเรานี้ให้ดี ๆ 
15. อย่าให้คนอื่นรู้สึกเป็นทุกข์และสูญเสียเพราะคุณ การที่คนคนหนึ่งอยู่ร่วมกับคนอื่นแล้วชอบทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์และสูญเสียนั้น ก็ยากที่จะรอดพ้นจากการถูกคนรังเกียจได้ พวกเราควรจะระมัดระวังไม่เพียงแต่เรื่องเพราะเหตุความเห็นแก่ตัวของพวกเราที่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์และสูญเสียเท่านั้น เราควรที่จะระวังเรื่องที่เราละเลย หรือไม่ระมัดระวังจนทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ และสูญเสียด้วย ตอนที่คนอื่นกำลังยุ่งอยู่นั้น คุณก็อย่าชวนเขาคุยนานสองนานจนงานของเขาเสียคนอื่นกำลังดูหนังสือหรือทำธุระอยู่นั้น คุณก็ไม่ควรรบกวนเขาด้วยเสียงดังหรือทำอะไรรบกวน คนอื่นนอนหลับคุณก็อย่าส่งเสียงเอะอะโวยวายคนอื่นกำลังเป็นทุกข์และโศรกเศร้าคุณก็อย่าหัวเราะดีใจ คนอื่นกินข้าวคุณก็อย่าพูดคำสะอิดสะเอียน คนอื่นกำลังเจ็บป่วยคุณก็อย่าพูดคำที่ทำให้เขายิ่งเป็นทุกข์และหวาดกลัวคนอื่นมีเรื่องที่ไม่อยากบอกคน คุณก็อย่าไปแฉเรื่อง ของเขาให้ใครฟัง คนอื่นมีจุดด้อย หรือปมด้อยทางร่างกาย คุณก็อย่าหัวเราะเยาะเขา ของของคนอื่นคุณก็อย่าเที่ยวไปใช้ การงานของคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องไปถามเขา และไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ควรคิดถึงคนอื่นก่อน ควรจะเข้าใจคนอื่น เห็นอกเห็นใจและไม่ทำให้เขาอึดอัดหรือไม่สบายใจ ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ จะไม่เป็นคนที่น่ารังเกียจแล้ว คุณยังจะเป็นคนที่ได้รับการให้เกียรติและชื่นชมจากคนอื่นอีกด้วย 
16. อย่าคิดว่าคนอื่นควรจะรักคุณ คนคนหนึ่งถ้ามักจะคิดว่าคนอื่นควรจะรักเขา ถ้าหากเขาได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นเขาจะไม่รู้จักขอบคุณอย่างแน่นอน ทั้งยังจะแสดงออกด้วยท่าทีและวาจาที่ไม่พอใจต่อคนอื่นอีกด้วย และมักจะตำหนิว่าคนอื่นทำไม่ดีต่อตนในใจของเขา มีแต่ความคิดที่ว่าคนอื่นจะต้องทำกับเขาเหมือนอย่างที่เขาคิด และถ้าคนอื่นทำกับเขาเหมือนกับเขาคิด เขาก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งธรรมดาที่คนอื่นต้องทำกับเขาเช่นนี้ แต่ถ้าหากคนอื่นทำกับเขาไม่เหมือนกับที่เขาคิด เขาก็จะเห็นว่าคนอื่นทำผิดต่อเขา คนที่เป็นคนประเภทนี้ มักจะไม่พอใจกับทุกคน และมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อทุกคน ถึงแม้คนอื่นจะทำดีต่อเขาแทบตายก็ไม่สามารถทำให้สำนึกในพระคุณไม่ ขอถามหน่อยเถิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ มีใครบ้างที่อยากจะคบกับคนประเภทนี้ มีใครบ้างที่ไม่รังเกียจคนประเภทนี้ มีใครบ้างที่อยากอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้ ถ้าใครไม่อยากเป็นคนประเภทนี้ ก็ควรจดจำไว้ว่า แท้จริงเราไม่เหมาะที่จะได้รับความรักจากคนอื่น แต่ถ้าหากมีคนรักเราทำดีกับเราก็ขอให้เราคิดว่า นั่นเป็นพระคุณต่อเราเราทำได้เพียงขอบคุณ ถ้าหากคนอื่นไม่รักเรา นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่าแสดงออกถึงการไม่พอใจอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน เป็นเพื่อน เป็นเพื่อนบ้าน เป็นเพื่อนักเรียน เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นญาติพี่น้อง ก็ไม่ควรเรียกร้องให้คนเหล่านี้รักเรา หรือหวังว่าคนเหล่านี้จะรักเรา และเมื่อคนอื่นแสดงออกต่อเราด้วยความรัก หรือทำอะไรให้เราไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่ามากหรือน้อย เราก็ควรจะแสดงออกถึงการขอบคุณ การที่คนคนหนึ่งมีจิตใจที่คิดเช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่โดนคนอื่นรังเกียจเท่านั้นเขายังจะได้รับความรักจากคนอื่นอีกด้วย ไม่เรียกร้องความรักจากคน ก็จะได้ความรักจากคน แต่คนที่เรียกร้องความรักจากคนอื่นนั้น ก็จะได้ความเกลียดชังไปทุกย่อมหญ้า อย่างไหนควรทำ อย่างไหนควรเลือก พวกเราที่เป็นคริสเตียนคงจะเข้าใจดีอยู่แล้ว 
17. กับคนที่ไม่สนิท และไม่ค่อยรู้จักอย่าใกล้ชิดและปล่อยตัวปล่อยอารมณ์จนเกินไป การที่อยู่กับคนที่สนิทกันนั้นก็อย่าเกรงใจจนเกินไป เพราะถ้าหากเกรงใจมากเกินไปก็อาจจะทำให้คุณไม่สามารถมีเพื่อนที่รู้ใจได้ แต่กับคนที่ไม่สนิท และยังไม่รู้จักกันดีพอ อย่าใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินไป เพราะว่าคุณไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร และนิสัยของเขาเป็นอย่างไร และก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักหรือชอบคุณจริงหรือเปล่า ยิ่งกว่านั้นคุณยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าเขาอยากให้คุณทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาหรือเปล่า ถ้าหาก เขาไม่ชอบคุณและรู้สึกไม่ดีต่อคุณ นั่นก็จะนำไปสู่การรังเกียจคุณในที่สุดและถึงแม้เขาจะชอบ และรู้สึกดีต่อคุณก็ตาม แต่นิสัยของเขาก็คือไม่ชอบสนิทสนมกับใคร แล้วคุณก็คิดว่าเขาคงจะเป็นเหมือนกับคุณคือสนิทกับคนง่าย ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากที่คุณจะไม่ถูกเขารังเกียจได้ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณพบกับใครครั้งแรกก็ควรจะระมัดระวังตัวหน่อย ต้องมีความเกรงใจ อย่าทำตัวสนิทสนมกับเขาเหมือนคุณทำกับคนในครอบครัวหรือ เพื่อนสนิทของคุณ และนั่นจะทำให้คุณพ้นจากการโดนคนอื่นรังเกียจและจะไม่ต้องพบกับความเสียใจภายหลัง และเมื่อต่อมา เมื่อคุณรู้จักกับเขามากขึ้นและค่อย ๆ สนิทสนมกับเขา ก็จะไม่มีอันตรายแล้ว 
18. อย่ากลายเป็นภาระของคนอื่น (ยกเว้นขณะที่ป่วยหรือร่างกายไม่สมประกอบ)ไม่ว่าจะอยู่กับใครก็ตาม อย่าทำให้คนอื่นมีภาระหนักมากยิ่งขึ้น เพราะคุณเป็นต้นเหตุเป็นอันขาด เรื่องที่คุณควรทำอย่าเรียกคนอื่นไปทำ อย่าให้คนอื่นเหนื่อยเพราะคุณ ถ้าหากคนไม่ได้เชื้อเชิญคุณ อย่าไปพักบ้านของเขาอย่างเด็ดขาด อย่าไปกินข้าวบ้านของคนที่เขายากจนถ้าหากไม่จำเป็น อย่าใช้คนที่มีการงานที่ยุ่งทำอะไรเพื่อคุณ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความเจ็บป่วยหรือพิการควรจะหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนอย่าเป็นภาระของคนอื่น และยิ่งไปพักอยู่บ้านของคนอื่นอย่ารอคนอื่นมาปรนนิบัติตัวเองเป็นอันขาด แต่ควรจะช่วยภาระกิจในบ้านของเขาอย่างสุดกำลังและเหมาะกับกาละเทสะ ก่อนที่จะขอร้องให้คนอื่นช่วยคุณทำอะไรนั้น ควรจะไตร่ตรองดูก่อนว่าจะทำให้เขาลำบากใจไหม ถ้าทำให้เขาลำบากใจ ก็อย่าไปรบกวนให้เขายุ่งยากดีกว่า ถึงแม้คุณจะรู้สึกว่าเขาคงจะไม่มีความไม่สบายใจก็ตาม ก็ควรจะถามเขาก่อนว่าเขายินดีช่วยไหมถ้าหากเขาตอบอย่างเปิดใจว่าไม่มีปัญหา นั่นคุณถึงค่อยขอร้องให้เขาช่วยคุณ ถ้าหากขณะที่คุณถามเขาว่าสะดวกที่จะช่วยคุณไหม ถ้าสังเกตดูว่าเขามีท่าทีอึดอัดใจ ก็อย่าได้รบกวนเขาเลย และนอกจากนั้นถ้าคุณจะเดินทางไปไหนกับใครก็ตาม ก็ควรนำสิ่งที่ตนเองนำไปให้ครบ อย่าให้เป็นภาระแก่คนอื่น และไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ควรจ่ายเงิน ก็ควรจ่าย อย่าให้คนอื่นจ่ายแทนคุณ เพราะคนที่มักเป็นภาระแก่คนอื่นนั้นก็ยากที่จะหลบจากการถูกคนอื่นรังเกียจได้ 
19. ต้องพยายามรักษาความสะอาดใบหน้าของคุณ มือของคุณ ฟันของคุณ ร่างกายของคุณ เครื่องแต่งกายของคุณ และข้าวของเครื่องใช้ของคุณให้เรียบร้อยอยู่เสมอ คนที่ไม่รักษาความสะอาดถ้าอยู่กับคนประเภทเดียวกันก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก แต่ถ้าเขาอยู่ร่วมกับคนที่รักความสะอาดละก้อ ก็ยากที่จะไม่โดนเขารังเกียจได้ คนที่รักและชอบความสะอาดนั้นไม่ชอบที่จะมองเห็นสิ่งที่สกปรก ไม่ชอบที่จะดมกลิ่นที่เหม็น ถ้าหากใบหน้าของคุณ ร่างกายของคุณ ลมปากของคุณ ฟันของคุณ เสื้อผ้าของคุณ เท้าของคุณ รองเท้าของคุณไม่สะอาดและออกกลิ่นเหม็น พวกเขารังเกียจคุณแน่ และไม่ชอบอยู่ใกล้คุณอย่างแน่นอน ถึงแม้ขณะที่ต่อหน้าเขาอาจจะไม่ ทำให้คุณเสียหน้า แต่ในใจของพวกเขาก็กำลังดูถูกคุณ รังเกียจคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อคุณเลย เพราะฉะนั้น ไม่เพียงแต่ควรรักษาใบหน้าให้สะอาดตลอดเวลาเท่านั้น คุณควรจะอาบน้ำบ่อย ๆ และให้ร่ายกายของคุณสะอาด ยิ่งหน้าร้อนก็ควรยิ่งจะรักษาความสะอาดยิ่งขึ้น ควรจะแปรงฟันทุกวัน และถ้าหากฟันของคุณมีคราบเหลือง ก็ควรไปหาหมอฟันให้ขูดออก มีบางคนหน้าก็สะอาดดี แต่งตัวก็เรียบร้อย แต่ ลมปากเหม็นฟันก็สกปรก ทำให้เมื่อคนเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งมิใช่หรือ เราควรจะแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย เสื้อผ้าเก่าใหม่ นั้นไม่สำคัญ ขอเพียงแต่สะอาดเรียบร้อย ดูแล้วสบายตาก็พอ (ไม่ใช่ยับ ๆ ไม่ได้รีด) พวกเราไม่สามารถใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้บ่อย ๆ แต่เราก็สามารถใส่เสื้อผ้าที่สะอาดกันได้บ่อย ๆ


เครดิต
http://www.cfethailand.org/index.php/2013-03-19-03-54-42/talk2godwithajnikorn/20-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น